อัยการสูงสุด-ตำรวจไซเบอร์ ประชุมแนวทางสอบสวนคดีคลิปเสียง สมเด็จฮุน เซน – นายกฯไทย นัดแรก หารือในการสรุปจำนวนผู้ต้องหาในคดี ชี้อาจเป็นคดีนอกราชอาณาจักร
อัยการสูงสุด-ตำรวจไซเบอร์ ประชุมแนวทางสอบสวนคดีคลิปเสียง สมเด็จฮุน เซน – นายกฯไทย นัดแรก หารือในการสรุปจำนวนผู้ต้องหาในคดี ชี้อาจเป็นคดีนอกราชอาณาจักร
วันที่ 1 สิงหาคม 2568
ที่สำนักงานการสอบสวน สำนักงานอัยการสูงสุด อาคารถนนบรมราชชนนี มีการประชุมร่วมระหว่างสำนักงานอัยการสูงสุด กับ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.สอท.1) เพื่อหารือแนวทางการดำเนินคดีกรณีคลิปเสียงสนทนา ที่อ้างว่าเป็นของ “สมเด็จฮุน เซน” ผู้นำกัมพูชา กับ นายกรัฐมนตรีของไทย ซึ่งเผยแพร่ผ่านโซเชียลมีเดีย
นายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รองอธิบดีอัยการ สำนักงานการสอบสวน และรองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยว่า คดีดังกล่าวอยู่ในอำนาจของอัยการสูงสุด เนื่องจากอาจจะเป็นคดีนอกราชอาณาจักร ซึ่งตามกฎหมายแล้ว อัยการสูงสุดมีอำนาจพิจารณาให้ดำเนินคดีโดยให้พนักงานอัยการสอบสวนฝ่ายเดียว หรือร่วมสอบสวนกับพนักงานสอบสวนตำรวจก็ได้
โดยวันนี้เป็นการประชุมนัดแรกระหว่างคณะทำงานของสำนักงานอัยการสอบสวน และตำรวจไซเบอร์ เพื่อกำหนดแนวทางสอบสวนและหาพยานหลักฐานเพิ่มเติม เนื่องจากขณะนี้ยังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหากับบุคคลใด เพราะยังอยู่ในขั้นตอนรวบรวมข้อมูล
เบื้องต้น พนักงานสอบสวนตำรวจไซเบอร์ได้รับการร้องทุกข์จากรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับคลิปเสียงที่เผยแพร่ผ่าน Facebook โดยมีการกล่าวหาว่าเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 (ยุยงปลุกปั่น) และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 ซึ่งจะต้องมีการพิจารณาอย่างละเอียดว่ามีมูลหรือไม่
ด้าน พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ ผู้บังคับการ สอท.1 และรองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ บอกเพิ่มเติมว่า จากการสืบสวนพบว่ามีการโพสต์คลิปเสียงผ่าน Facebook ชื่อ “Samdech Hun Sen of Cambodia” ซึ่งปรากฏข้อมูลว่ามีการวางแผนอย่างเป็นระบบ โดยทั้งหมดอยู่ในสำนวนเบื้องต้น ซึ่งจะต้องหารือกับอัยการสูงสุดในการพิจารณาข้อมูลว่าเข้าข่ายผิดกฎหมายหรือไม่
การดำเนินคดีนี้ต้องอาศัยการสอบสวนพยานเพิ่มเติม ซึ่งอาจรวมถึงบุคคลสำคัญ เช่น นายกรัฐมนตรีไทย หรือสมเด็จฮุน เซน แต่ในส่วนของสมเด็จฮุน เซน อาจมีข้อจำกัดเรื่องการเชิญมาสอบ เพราะเป็นบุคคลต่างประเทศระดับผู้นำ
ทั้งนี้ การดำเนินคดีในลักษณะนอกราชอาณาจักรต้องมีพยานหลักฐานที่แน่นหนาเพียงพอ หากอัยการสูงสุดเห็นว่ายังไม่มีมูล อาจมีคำสั่งไม่ฟ้อง และคดีจะสิ้นสุดลงทันที
ขณะเดียวกัน พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ยังกล่าวถึงกรณี พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวช หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติในคดีเดียวกัน โดยคาดว่าทางตำรวจไซเบอร์จะรวบรวมพยานหลักฐานและส่งต่อให้กับสำนักงานอัยการสูงสุดอีกหนึ่งสำนวนในสัปดาห์หน้า
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ทั้งสองฝ่ายยืนยันว่า จะพิจารณาเรื่องนี้โดยยึดหลักพยานหลักฐาน ไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นการเมืองหรือการทหาร พร้อมเน้นย้ำว่า จะทำงานอย่างรอบคอบและโปร่งใส เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และเร่งรัดดำเนินการให้สอดคล้องกับความสนใจของประชาชนและสื่อมวลชน
พล.ต.ต. ศิริวัฒน์ฯ ยังเผยถึงกรณีข่าวปลอมทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชาว่า ขอให้ประชาชนติดตามข้อมูลข่าวสารจากเพจฯ ทางการของภาครัฐเท่านั้น ส่วนเรื่องเฟคนิวส์ตอนนี้ตำรวจไซเบอร์ อยู่ระหว่างการประสานกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ DE ให้ปิดกั้นเพจฯ ดังกล่าว รวมทั้งทางไซเบอร์จะพิจารณาดำเนินคดีด้วย หากประชาชนพบเห็นข้อมูลข่าวปลอมก็สามารถแจ้งข้อมูลกับตำรวจไซเบอร์ได้ตลอดเวลา
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่ามีข้อมูลข่าวปลอมอยู่ประมาณ 70 ข้อมูล ซึ่งข้อมูลส่วนใหญ่ จะเป็นการด้อยค่าประชาชนคนไทย และตอนนี้ได้ดำเนินคดีกับ ชาวกัมพูชาแล้ว 2 คน ในกรณีที่เผยแพร่ข่างปลอมเรื่องเครื่องบิน F-16 ตก
ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตั้งรางวัลนำจับบุคคลที่บินโดรน เป็นจำนวนเงิน 100,000 บาท ยืนยันว่าไม่ใช่เรื่องจริง