กีฬาพาดหัวข่าว

“สองล้อ” ประสบความสำเร็จอย่างสูง พัฒนาบุคลากรทั้งผู้ตัดสิน-ผู้ฝึกสอน

“สองล้อ” ประสบความสำเร็จอย่างสูง
พัฒนาบุคลากรทั้งผู้ตัดสิน-ผู้ฝึกสอน

“สองล้อ” ได้รับข่าวดีสหพันธ์จักรยานนานาชาติ (UCI) แจ้งว่า 2 ผู้ตัดสินไทย “สาโรช กาญจนานนท์” และ “สุมิตร สุโขชัยวาณิช” สอบผ่านหลักสูตร “Elite National Commissaire Course for Road” ได้เป็นผู้ตัดสินระดับ Elite หรือระดับชาติขั้นสูง นับเป็นความสำเร็จของสมาคมกีฬาจักรยานแห่งประเทศไทยฯ ในการพัฒนาบุคลากร ซึ่งมีผู้ตัดสินระดับ International จำนวน 2 คน และระดับ Elite จำนวน 11 คน และมีผู้ฝึกสอนที่สอบผ่านการอบรมระดับสูงสุดของ UCI จำนวน 5 คน

“เสธ.หมึก” พลเอกเดชา เหมกระศรี รองประธานสมาพันธ์จักรยานแห่งเอเชีย (ACC), ประธานสหพันธ์จักรยานแห่งอาเซียน (ACF) และนายกสมาคมกีฬาจักรยานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดเผยว่า จากการที่สมาคมกีฬาจักรยานฯ มีนโยบายพัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่องตามแผนยุทธศาสตร์ที่วางไว้ ทั้งการพัฒนาผู้ฝึกสอน ผู้ตัดสิน และช่างซ่อมจักรยาน ซึ่งสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์และติดตามความก้าวหน้าการพัฒนาบุคลากรกีฬา ของการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ที่ดำเนินการพัฒนาบุคลากรในทุก ๆ ด้าน โดยสมาคมกีฬาจักรยานฯ ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานและองค์กรต่าง ๆ ทั้งการกีฬาแห่งประเทศไทย, คณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทยฯ และสหพันธ์จักรยานนานาชาติ (UCI) ในการจัดโครงการอบรมผู้ตัดสิน ผู้ฝึกสอน และช่างซ่อมจักรยาน ทำให้มีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก

พลเอกเดชา กล่าวว่า ในด้านการพัฒนาผู้ฝึกสอน สมาคมกีฬาจักรยานฯ ได้ส่งบุคลากรไปอบรมหลักสูตรผู้ฝึกสอนจักรยานระดับสูง (Level 3) ซึ่งเป็นหลักสูตรระดับสูงสุดของ UCI ณ ศูนย์ฝึกจักรยานโลก (WCC) เมืองเอเกิล ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยผู้ที่สอบผ่านการอบรมหลักสูตรนี้จะได้รับใบอนุญาตจาก UCI สามารถเป็นผู้ฝึกสอนจักรยานได้ทั่วโลก สำหรับผู้ฝึกสอนของสมาคมกีฬาจักรยานฯ ที่สามารถสอบผ่านหลักสูตรนี้มีถึง 5 คน ประกอบด้วย “โค้ชตั้ม” พ.อ.อ.วิสุทธิ์ กสิยะพัท, “โค้ชบาส” พ.อ.อ.ภุงชงค์ ซ้ายอุดมศิลป์, “โค้ชบีซ” ร.อ.หญิง จุฑาธิป มณีพันธุ์ และ “โค้ชนพ” ร.ต.อ.อดิศักดิ์ วรรณศรี รวมถึง “ทีเจ” จาย อังค์สุธาสาวิทย์ นักปั่นทีมชาติไทยที่สมาคมฯ ส่งไปฝึกซ้อมที่ศูนย์ฝึกจักรยานโลกเป็นเวลา 6 ปี ทำให้ได้สิทธิ์อบรมผู้ฝึกสอน Level 3 และอบรมช่างซ่อมจักรยาน ทำให้สมาคมฯ มีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถที่จะถ่ายทอดและพัฒนานักกีฬาจักรยานไทยให้ก้าวไกลไปสู่ระดับนานาชาติต่อไป

“เสธ.หมึก” กล่าวอีกว่า ส่วนการพัฒนาผู้ตัดสิน สมาคมกีฬาจักรยานฯ จัดโครงการอบรมผู้ตัดสินอย่างต่อเนื่องทุกปี ทั้งโครงการอบรมผู้ตัดสินประเภทถนน, ผู้ตัดสินประเภทลู่, ผู้ตัดสินประเภทเสือภูเขา ตั้งแต่ระดับขั้นพื้นฐานไปจนถึงการอบรมผู้ตัดสินกีฬาจักรยานอาชีพ ระดับนานาชาติ โดยสมาคมฯ เริ่มต้นจากการวางรากฐานด้วยการเปิดอบรมผู้ช่วยผู้ตัดสินให้มาปฏิบัติหน้าที่ในการแข่งขันจักรยานประเภทถนนและเสือภูเขา ชิงแชมป์ประเทศไทย ชิงพระราชทานฯ ทุกสนาม ผู้ที่ผ่านการอบรมจะได้รับประกาศนียบัตร สามารถไปปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ช่วยผู้ตัดสินในการแข่งขันจักรยานชิงแชมป์ประเทศไทย หรือเป็นผู้ตัดสินการแข่งขันจักรยานในจังหวัดของตัวเองและจังหวัดใกล้เคียง รวมทั้งได้สิทธิ์เข้ารับการอบรมในระดับที่สูงขึ้นที่สมาคมกีฬาจักรยานฯ จัดอบรมเป็นประจำทุกปี เพื่อก้าวขึ้นไปเป็นผู้ตัดสินระดับพื้นฐานที่ไล่ไปตั้งแต่ระดับฝึกหัด, ระดับ 3, ระดับ 2 และระดับ 1

พลเอกเดชา กล่าวต่อไปว่า หลังจากนั้นสมาคมกีฬาจักรยานฯ ก็สานต่อในโครงการต่อยอดจากผู้ตัดสินระดับพื้นฐาน สนับสนุนให้เข้ารับการอบรมในระดับสูงขึ้นทั้งระดับประเทศ, ระดับ Elite และในระดับนานาชาติ หรือ International ตามหลักสูตรของ UCI ซึ่งปัจจุบันนี้เรามี นายณัฐพงศ์ โลหิตนาวี เป็นผู้ตัดสินนานาชาติประเภทถนนและลู่ และ นายขัตติยะ ศรีโสดา ในประเภทบีเอ็มเอ็กซ์ ล่าสุด จากการที่สมาคมกีฬาจักรยานฯ เปิดโครงการจัดอบรมพัฒนาผู้ตัดสินกีฬาจักรยานอาชีพประเภทถนนระดับนานาชาติ หลักสูตร “Elite National Commissaire Course for Road” ณ โรงแรมวาสิฏฐี ซิตี้ จังหวัดสุพรรณบุรี เมื่อวันที่ 11-15 กันยายน โดยสหพันธ์จักรยานนานาชาติ (UCI) ได้แต่งตั้ง มร.เวย์น โพมาริโอ ผู้ตัดสินนานาชาติชาวออสเตรเลีย มาเป็นวิทยากรให้ความรู้แก่ผู้เข้ารับการอบรมจำนวน 20 คน

“สมาคมกีฬาจักรยานฯ ได้รับข่าวดีจาก UCI ที่แจ้งมาว่า มีผู้ตัดสินของไทย 2 คน สามารถสอบผ่านการอบรมหลักสูตรดังกล่าว ได้แก่ นายสาโรช กาญจนานนท์ และ นายสุมิตร สุโขชัยวาณิช ทำให้เรามีผู้ตัดสินระดับ Elite หรือระดับชาติขั้นสูงเพิ่มขึ้นเป็น 11 คน ซึ่งเป็นผลดีที่ผู้ตัดสินของไทยจะได้มีโอกาสทำหน้าที่ในการแข่งขันรายการนานาชาติที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ไม่ว่าจะเป็นกีฬาซีเกมส์, เอเชี่ยนเกมส์ หรือยูธโอลิมปิกเกมส์ อย่างไรก็ตาม สมาคมฯ ก็จะนำจุดบกพร่องต่าง ๆ มาแก้ไขปรับปรุง ซึ่งการที่ผู้ตัดสินของไทยสอบผ่านจำนวนน้อย เนื่องจากมีอุปสรรคในเรื่องการใช้ภาษาอังกฤษ เพราะการอบรมจะต้องมีการสอบทั้งภาคทฤษฎี และภาคปฏิบัติ มีการสอบปากเปล่าเป็นภาษาอังกฤษ หากไม่เข้าใจเนื้อหาอย่างถ่องแท้ก็ยากที่จะสอบผ่าน ดังนั้นขอฝากให้ผู้ตัดสินและผู้ฝึกสอนของไทยพยายามฝึกฝนภาษาอังกฤษให้มากเป็นพิเศษ เพื่อการก้าวไปสู่ระดับนานาชาติต่อไปในอนาคต” พลเอกเดชา กล่าวทิ้งท้าย.