เจ้าของบ้านร้องเอาผิด ตร.ปส. หลังนำกำลังบุกค้นบ้านยามวิกาล อ้างสายรายงานมียาเสพติดซุกซ่อน
เจ้าของบ้านร้องเอาผิด ตร.ปส. หลังนำกำลังบุกค้นบ้านยามวิกาล อ้างสายรายงานมียาเสพติดซุกซ่อน
เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2568 นายชนพร บุตรเกตุ อายุ 20 ปี เจ้าของบ้านเลขที่ 9809 หมู่ 1 ตำบลร่อนทอง อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สภ.บางสะพาน เพื่อดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ตำรวจปราบปรามยาเสพติดจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ (ปส.) หลังนำกำลังเข้าบุกค้นบ้านในช่วงเวลากลางคืน โดยอ้างว่ามีรายงานจากสายว่ามีสิ่งผิดกฎหมายซุกซ่อนอยู่ภายในบ้าน
นายชนพร หรือ “โจ๊ก” เล่าเหตุการณ์ว่า ในขณะเจ้าหน้าที่ตำรวจ ปส. บุกเข้าตรวจค้น ได้สั่งให้ทุกคนนั่งนิ่ง ห้ามขัดขืน ก่อนจะเข้ารื้อค้นหาสิ่งผิดกฎหมายทั่วทั้งบ้าน แต่ไม่พบสิ่งของผิดกฎหมายแต่อย่างใด จากนั้นเจ้าหน้าที่ให้ตนเซ็นรับทราบบันทึกการตรวจค้น ซึ่งตนไม่ยินยอมลงชื่อ ก่อนที่เจ้าหน้าที่ทั้งหมดจะออกไปจากบ้านเหมือนไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น

ซึ่งญาติ ๆ ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างตกใจ เพราะเจ้าหน้าที่ไม่ได้แสดงหมายค้น และไม่ชี้แจงเหตุจำเป็นเร่งด่วนใด ๆ ที่ต้องบุกเข้ามารื้อค้นทรัพย์สินภายในบ้านในยามวิกาล ซึ่งเป็นเคหสถานส่วนบุคคล
ภาพจากกล้องวงจรปิดบริเวณรั้วหน้าบ้านของนายชนพร หรือ “โจ๊กหม่าล่า” บันทึกเหตุการณ์ขณะมีรถกระบะติดแค็บคันหนึ่งจอดหน้ารั้วบ้าน ก่อนที่ชายฉกรรจ์หลายคนจะกรูกันวิ่งเข้ามาภายในรั้วบ้าน โดยไม่ปรากฏว่ามีการแสดงตัวหรือเอกสารใด ๆ ยืนยันว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ การกระทำดังกล่าวอาจเข้าข่ายละเมิดสิทธิในเคหสถาน และเป็นการตรวจค้นโดยมิชอบด้วยกฎหมาย
ด้านนายชนพรเล่าต่อว่า เหตุเกิดราว ๆ สองถึงสามทุ่ม ขณะตนกำลังขายหม่าล่าอยู่บริเวณหน้าบ้าน มีลูกค้าแน่นร้าน จากนั้นมีรถกระบะติดแค็บมาจอด พร้อมรถกระบะอีกสองคันตามหลัง ก่อนที่กลุ่มชายฉกรรจ์จะลงมาจากรถและอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ปส. พร้อมถามหามารดาของตน แล้วรีบวิ่งกรูกันเข้าไปในบ้าน
เมื่อเห็นท่าไม่ดี ตนจึงหยุดให้บริการลูกค้าแล้วเดินตามเข้าไปสอบถาม พบว่าชายฉกรรจ์เหล่านั้นอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ปส. แต่ไม่มีใครแสดงหมายค้นหรือบัตรเจ้าหน้าที่ ก่อนจะทำการรื้อค้นทรัพย์สินภายในบ้าน และพยายามเข้าไปในห้องนอนส่วนตัว ตนจึงขอให้รอก่อนเพื่อกลับไปหยิบโทรศัพท์มาถ่ายคลิปไว้เป็นหลักฐาน เนื่องจากเกรงไม่ปลอดภัย
ภายหลังการตรวจค้นทั่วบ้าน ไม่พบสิ่งผิดกฎหมายแต่อย่างใด ต่อมามีนายตำรวจรายหนึ่งแสดงตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่ปราบปรามยาเสพติดจังหวัดประจวบฯ โดยอ้างว่ามีสายรายงานว่ามียาเสพติดซุกซ่อนอยู่ในบ้าน เมื่อไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย เจ้าหน้าที่ได้จัดทำบันทึกตรวจค้นให้ตนเซ็นรับทราบ แต่ตนปฏิเสธ เพราะเห็นว่าการเข้าตรวจค้นดังกล่าวไม่มีหมายศาลหรือเอกสารแสดงเหตุจำเป็นใด ๆ
สุดท้าย เจ้าหน้าที่ได้บังคับให้มารดาและน้าของตนเซ็นรับทราบแทน นายชนพรจึงเห็นว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการละเมิดสิทธิในเคหสถาน และเป็นการตรวจค้นโดยมิชอบด้วยกฎหมาย จึงเข้าแจ้งความไว้ที่ สภ.บางสะพาน พร้อมมอบหลักฐานจากกล้องวงจรปิดและคลิปจากโทรศัพท์มือถือให้พนักงานสอบสวน เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายกับเจ้าหน้าที่ชุดดังกล่าว
นายชนพรกล่าวเพิ่มเติมว่า ตนเกรงจะไม่ได้รับความเป็นธรรม จึงเข้าร้องเรียนต่อ พ.ต.อ.เอกราช หุ่นงาม ที่ปรึกษาคณะทำงานของ ส.ว.นิชาภา สุวรรณนาค และขอให้สื่อมวลชนช่วยติดตามเรื่องนี้ เพื่อให้ความเป็นธรรมแก่ตนและครอบครัว
พ.ต.อ.เอกราช กล่าวว่า ได้รับการร้องเรียนจากผู้เสียหายให้ช่วยดำเนินการ เนื่องจากภายหลังจากที่ผู้เสียหายเข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนแล้ว แต่ไม่ได้รับการรับเรื่องร้องทุกข์ ตนจึงได้ประสานให้ความช่วยเหลือ และพิจารณาเห็นว่า กรณีเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการเข้าตรวจค้นบ้านเรือนของประชาชนในเวลากลางคืน อาจเข้าข่ายเป็นการ ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และ ละเมิดสิทธิของประชาชน ตามกฎหมาย
แม้เจ้าหน้าที่จะมีบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ปราบปรามยาเสพติด (บัตร ปส.) แต่ก็จำเป็นต้องปฏิบัติตาม ระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะในเรื่อง การเข้าตรวจค้นเคหสถานในเวลากลางคืน ซึ่งต้องมีหมายค้นและเหตุอันสมควรตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญากำหนดไว้
พ.ต.อ.เอกราช กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันประชาชนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายมากขึ้น และสังคมกำลังจับตามองการทำงานขององค์กรตำรวจอย่างใกล้ชิด ภายหลังจากที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล (บิ๊กโจ๊ก) อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ออกมาให้ข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาภายในองค์กรตำรวจ ดังนั้น การที่หน่วยงานใดจะดำเนินการทางกฎหมายกับบุคคลที่ออกมาเปิดเผยข้อมูล จึงควรตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างรอบด้าน เพื่อให้เกิดความโปร่งใส และเสริมสร้างความน่าเชื่อถือขององค์กร มากกว่าการใช้มาตรการทางกฎหมายตอบโต้
ในทำนองเดียวกัน กรณีเจ้าหน้าที่ชุดปราบปรามยาเสพติดเข้าตรวจค้นบ้านเรือนของประชาชนในเวลากลางคืน หากเจ้าหน้าที่ตำรวจยังคงมีพฤติกรรม ช่วยเหลือหรือปกป้องกันเองโดยไม่คำนึงถึงกฎหมาย ก็อาจเป็นการส่งเสริมให้เกิดการละเมิดสิทธิต่อไป ซึ่งจะยิ่งทำให้ประชาชน สูญเสียความเชื่อมั่นต่อองค์กรตำรวจ ในระยะยาว พ.ต.อ.เอกราช กล่าว//////////

พิสิษฐ์รื่นเกษมข่าวจังหวัดประจวบคีรีขันธ์โทร 064-364-1644
