ข่าวทั่วไปข่าวพาดหัวตรวจสอบ

หนุ่มใหญ่วัย56ปี โทรขอความช่วยเหลือก่อนสิ้นใจดับสลดคาถนน ย่านประชาอุทิศ

หนุ่มใหญ่วัย56ปี โทรขอความช่วยเหลือก่อนสิ้นใจดับสลดคาถนน ย่านประชาอุทิศ

วันที่ 13 พฤศจิกายน 2564 เวลา 03.05 น.

ร้อยตำรวจเอก จีรศักดิ์ หอมนาน รอง สว.สอบสวน สน.ราษฎร์บูรณะ ได้รับแจ้งมีชายวัยกลางคนหมดสติอยู่บริเวณบนสะพานปูนท้ายซอยประชาอุทิศ จึงรีบรุดจัดกำลัง พร้อม อาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เร่งรัดตรวจสอบที่เกิดเหตุทันที

เมื่อเจ้าหน้าที่พร้อมอาสาสมัครกู้ภัยมาถึงที่เกิดเหตุ พบผู้ป่วยเป็นชาย 1 ราย ทราบชื่อต่อมาชื่อ นาย จำรัส อายุ 56 ปี อยู่ในสภาพนอนหมดสติอยู่บนสะพานปูนข้างคลองแจงร้อน ท้ายซอยประชาอุทิศ ถนน ประชาอุทิศ เเขวง ราษฎร์บูรณะ เขต ราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร จึงรีบรุดจัดอุปกรณ์ปฐมพยาบาล พร้อมสวมชุดป้องกันโควิด19 เร่งให้การช่วยเหลือโดยการทำCPR ทันที แต่ไม่เป็นผลและเสียชีวิตในเวลาต่อมา จึงประสานเหตุต่อไปที่แพทย์นิติเวชโรงพยาบาลศิริราช ให้มาตรวจสอบที่เกิดเหตุทันที

แล้วจากการตรวจสอบเหตุเบื้องต้นพบผู้ที่พบเหตุการณ์เป็นคนแรกชื่อนาย ปรีชา อายุ 27 ปี บอกเล่าว่าตนกำลังจะขี่รถจักรยานยนต์กลับบ้านแล้วบังเอิญพบชายคนดังกล่าวนอนขวางทางอยู่จึงจอดรถแล้วพยายามไปปลุกให้ขยับตัวไปหน่อยเพราะขวางทางเกรงว่าจะถูกรถชน แล้วอีกอย่างก็นึกว่าจะเป็นคนเมามานอนอยู่ตรงนี้ แต่พอเดินเข้าไปดูก็เห็นว่ามีน้ำลายฟูมปากแล้ว และสักพักก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ของผู้ตายดังขึ้น ก็นึกว่าญาติของผู้ตาย โทรมาจึงรับสายแต่ปลายสายกลับเป็นพยาบาลจากโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ซึ่งปลายสายแจ้งว่าผู้ตายได้โทรศัพท์ไปขอความช่วยเหลือว่ามีอาการแน่นหน้าอก หายใจไม่ออก ตนเองก็เลยบอกไปว่าผู้ตายหมดสติไปแล้วปลุกไม่ตื่นเลย แล้วมีน้ำลายฟูมปากออกมาด้วยแล้วปลายสายก็วางไป ตนเองจึงรีบโทรแจ้งตำรวจให้เข้ามาตรวจสอบแล้วยืนรอเจ้าหน้าที่อยู่ในที่เกิดเหตุ และพออาสาสมัครกับเจ้าหน้าที่ตำรวจมาถึง อาสาสมัครให้การช่วยเหลืออยู่นานแล้วมาบอกว่าตายแล้วตนเองก็ตกใจ และก็กลัวว่าชายคนดังกล่าวจะตายด้วยโควิด19 หรือเปล่า

ส่วนเบื้องต้นอาสาสมัครต้องสวมชุดPPE และใช้อุปกรณ์การตรวจเชื้อโควิด19 โดยใช้ชุดตรวจ ATK แล้วผลการตรวจออกมาเป็นลบ แต่ยังไม่มั่นใจจึงเช็คกับแอพพิเคชั่นหมอพร้อมโดยใช้เลขประจำตัว13หลักเช็คอีกที่เพื่อความมั่นใจ แต่ผลกลับออกมาว่าผู้เสียชีวิตยังไม่เคยฉีดวัคซีนเลย เจ้าหน้าที่ตำรวจ และแพทย์นิติเวช จึงมอบหมายให้อาสาสมัครนำร่างผู้เสียชีวิตไปตรวจสอบหาสาเหตุของการเสียชีวิตอย่างละเอียดอีกครั้งที่นิติเวช ก่อนที่จะเร่งติดต่อหาญาติมารับร่างผู้เสียชีวิตไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อไป

โชติกา ม่วงใจรักษ์ ผู้สื่อข่าว กทม.